แนวทางในการวิจารณ์ผลงานศิลปะ
ได้จำแนกประเภทของงานศิลปะหรือทฤษฎีศิลปะออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
1. แนวนิยมความจริง(Imitationalism) เป็นแนวคิดการสร้างสรรค์งานศิลปะโดยยึดเหตุผล และกฎเกณฑ์ตามความเป็นจริง แนวทฤษฎีนี้จะมุ่งพิจารณาคุณค่าทางเรื่องราว(Literal qualities) ที่แสดงเนื้อหาสาระในความเป็นจริง(realistic)และเป็นจริงดังที่สายตามองเห็น การพิจารณาความสำเร็จของงานศิลปะตามทฤษฎีนี้ จะให้ความสำคัญกับความสามารถในการเลียนแบบธรรมชาติ หรือ เหมือนกับสิ่งที่เป็นอยู่จริงในธรรมชาติ
2 แนวนิยมรูปทรง(Formalism) เป็นแนวคิดการสร้างสรรค์งานศิลปะที่มุ่งให็ความสำคัญกับความรู้สึกทางการจัดองค์ประกอบ หรือ มูลฐานศิลปะ อันได้แก่ สี(colors) น้ำหนัก(values) เส้น(lines) พื้นผิว(texture) รูปร่าง(shape) รูปทรง(forms) และระวาง(space) ซึ่งมูลฐานศิลปะเหล่านี้จะจัดวางกันอยู่ภายใต้หลักการทางศิลปะ แนวนิยมรูปทรงจึงมุ่งเน้นการพิจารณาผลงานศิลปะที่ให้คุณค่าทางการออกแบบ(design qualities) หรือเป็นการพิจารณาความหมายและ สาระในความเป็นเอกภาพของการจัดองค์ประกอบ ที่เกิดจากการประสานสัมพันธ์ระหว่างมูลฐานศิลปะ กับหลักการศิลปะ(element and principle of art)
3. แนวนิยมอารมณ์ความรู้สึก(Emotionalism) เป็นแนวคิดการสร้างสรรค์งานศิลปะที่มุ่งเน้นคุณค่าทางการแสดงออก(expressive qualities) ที่ศิลปินได้สื่อสารไปสู่ผู้ชม แนวทางการพิจารณาคุณค่าทางการแสดงออกมิได้มุ่งเน้นที่ผลสำเร็จของทักษะฝีมือในความเหมือนจริง หรือ การจัดองค์ประกอบแต่ประการใด หากแต่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงอารมณ์สะเทือนใจความรู้สึกและ ความคิดเห็นต่าง ๆ ในขณะที่มองเห็นขั้นตอนในการปฏิบัติการวิจารณ์ผลงานศิลปะเป็น 4 ขั้นตอนคือ
1. การพรรณนา(Description)เป็นการพิจารณาคุณค่าทางเรื่องราว(Literal qualities)โดยเป็นขั้นตอนในการกล่าวถึงรายละเอียดต่างๆ ของ เรื่องราว หรือเนื้อหาสาระที่ปรากฏให้เห็นในผลงานศิลปะ เพื่อที่จะบ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั่นเป็นอะไรหรือมีเรื่องราวอย่างไรหรือเป็นการกล่าวถึงรายละเอียดของมูลฐานศิลปะ(Elements of art) เช่น เส้น สี น้ำหนัก พื้นผิว รูปร่าง รูปทรง และ บริเวณว่าง โดยพิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้ประกอบกันอยู่อย่างไร กล่าวคือเป็นการพรรณนาคุณค่าทางเรื่องราว และ มูลฐานศิลปะ ทั้งนี้เพื่อจะตอบปัญหาว่า มีอะไรที่ปรากฏในผลงานศิลปะ
2. การวิเคราะห์(Analysis)เป็นการพิจารณาคุณค่าทางการออกแบบ(Design qualities) เป็นขั้นตอนการอธิบายหลักในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ด้วยการใช้แผนภูมิการออกแบบ(design chart)โดยรายการในแนวตั้งของแผนภูมิ คือ มูลฐานศิลปะ (Element of art) และ รายการในแนวนอน คือ หลักการศิลปะ(Principles of art)ในขั้นตอนนี้ผู้ดำเนินการวิเคราะห์จะต้องพิจารณาว่าศิลปินได้นำเอามูลฐาน(ผู้วิจารณ์ได้กล่าวไว้ในขั้นตอนการพรรณนา)มาผสมผสานเป็นโครงสร้างภายใต้หลักการศิลปะอย่างไร โดยบันทึกเครื่องหมายลงในแผนภูมิออกแบบ หรือกล่าวสรุปอีกนัยหนึ่ง คือ เป็นการวิเคาะห์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างมูลฐานศิลปกรรมกับหลักการศิลปะ ที่ศิลปินได้นำมาจัดวางกันขึ้นให้มีความเป็นเอกภาพ เพื่อที่จะอธิบายว่าผลงานศิลปกรรมนั้น ๆ ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร
3. การตีความ(Interpretation)เป็นการพิจารณาคุณค่าทางการแสดงออก(Expressive qualities)โดยเป็นขั้นตอนการค้นหาความหมายจากสิ่งต่างๆ ภายในผลงานโดยพิจารณาว่าผลงานศิลปกรรมนั้นๆ ได้มุ่งสะท้อนให้เกิดผลต่ออารมณ์ความรู้สึก หรือ ความคิดต่างๆ ในการสื่อสารต่อผู้ชื่นชมงานศิลปกรรมนั้น ๆ อย่างไร
4. การตัดสิน(Judgment)เป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการวิจารณ์อันเป็นความพยายามเพื่อจะตอบข้อคำถามว่า ผลงานศิลปกรรมนั้น ๆ ประสบความสำเร็จ หรือ ไม่ ดี หรือ ไม่ดีอย่างไรทั้งนี้จะต้องวินิจฉัยเพื่อตัดสินไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามแนวทฤษฎีศิลปะ(Theories of art)ซึ่งใช้เกณฑ์(Criteria)ในการบ่งชี้ความสำเร็จในคุณค่าเชิงสุนทรียภาพของผลงานศิลปกรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น